ตัวประกอบของ 1946 และวิธีการแยกตัวประกอบของ 1946
คำนิยาม
ตัวประกอบของจำนวนนับใดๆ หมายถึง จำนวนนับที่หารจำนวนนับที่เรากำหนดให้ได้ลงตัว
ดังนั้นตัวประกอบของ 1946 หมายถึงจำนวนนับที่หาร 1946 ได้ลงตัว
▶
▶
2. การแยกตัวประกอบของ 1946 ด้วยวิธีหารสั้น
ตัวประกอบของ 1946 มีอะไรบ้าง
ตัวประกอบของ 1946 มีทั้งหมด 8 ตัวคือ 1, 2, 7, 14, 139, 278, 973, 1946
ตรวจคำตอบด้วยการหาร
| 1946 ÷ 1 | = | 1946 | เหลือเศษ 0 |
| 1946 ÷ 2 | = | 973 | เหลือเศษ 0 |
| 1946 ÷ 7 | = | 278 | เหลือเศษ 0 |
| 1946 ÷ 14 | = | 139 | เหลือเศษ 0 |
| 1946 ÷ 139 | = | 14 | เหลือเศษ 0 |
| 1946 ÷ 278 | = | 7 | เหลือเศษ 0 |
| 1946 ÷ 973 | = | 2 | เหลือเศษ 0 |
| 1946 ÷ 1946 | = | 1 | เหลือเศษ 0 |
ตรวจคำตอบด้วยการจับคู่หาจำนวนที่คูณกันได้ 1946
| 1 x 1946 | = | 1946 |
| 2 x 973 | = | 1946 |
| 7 x 278 | = | 1946 |
| 14 x 139 | = | 1946 |
ผลบวกของตัวประกอบทั้งหมดของ 1946
1 + 2 + 7 + 14 + 139 + 278 + 973 + 1946 = 3360
▶ ตัวประกอบของ 1946 ที่เป็นจำนวนเฉพาะมีทั้งหมด 3 ตัวดังนี้
2, 7, 139
จำนวนเฉพาะ (Prime number) คือ จำนวนนับที่มากกว่า 1 และมีตัวประกอบเพียงสองตัวคือ 1 และตัวมันเอง
ตัวประกอบที่เป็นจำนวนเฉพาะ เรียกว่า "ตัวประกอบเฉพาะ"
การแยกตัวประกอบคืออะไร
การแยกตัวประกอบ คือ การเขียนจำนวนนับนั้นให้อยู่ในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ
▶ 1946 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
1946 = 2 x 7 x 139
วิธีการแยกตัวประกอบ
1. การแยกตัวประกอบของ 1946 ด้วยวิธีแผนภาพต้นไม้🌲
วิธีทำ
1จำนวนที่โจทย์กำหนดมา คือ 1946 ดังนั้นให้หาจำนวนที่คูณกันได้ 1946 มา 1 คู่ เช่น 2 x 973
2พิจารณาว่าจำนวน 1 คู่ที่เลือกมาเป็นจำนวนเฉพาะหรือยัง
3ถ้าจำนวนใดยังไม่ใช่จำนวนเฉพาะให้หาจำนวนที่คูณกันได้จำนวนนั้น และให้เลือกเอาจำนวนที่คูณกันได้จำนวนนั้นมา 1 คู่(ทำคล้ายๆกับข้อที่ 1)
4ทำโดยใช้หลักการข้อที่ 2 และ 3 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจำนวนสุดท้ายจะเป็นจำนวนเฉพาะ
5เอาจำนวนเฉพาะทั้งหมดที่ได้มาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 1946
ตัวอย่างแผนภาพต้นไม้ของ 1946 แบบที่หนึ่ง
- 1946
- 14
- 2
- 7
- 139
- 14
ตัวอย่างแผนภาพต้นไม้ของ 1946 แบบที่สอง
- 1946
- 2
- 973
- 7
- 139
ดังนั้น 1946 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
1946 =
2 x 7 x 139
2. การแยกตัวประกอบของ 1946 ด้วยวิธีหารสั้นวิธีทำ1หาร 1946 ด้วยตัวประกอบเฉพาะของ 1946 นั้นก็คือ 2, 7, 139 (ในการหารแต่ละครั้งแนะนำให้ใช้ตัวประกอบเฉพาะที่มีค่าน้อยที่สุด)2หากผลการหารที่ได้ยังไม่เท่ากับ 1 ให้นำผลการหารที่ได้ก่อนหน้านี้มาหารด้วยตัวประกอบเฉพาะอีกครั้ง3ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 2 ไปเรื่อยๆ จนกว่าผลหารสุดท้ายมีค่าเท่ากับ 14นำตัวหารทั้งหมดมาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 1946
2)19467)973139)1391ดังนั้น 1946 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้1946 = 2 x 7 x 139วิธีหาจำนวนตัวประกอบทั้งหมดของ 1946
1แยกตัวประกอบของ 1946 และเขียนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังจะได้เท่ากับ 21 x 71 x 13912ให้นำ 1 ไปบวกกับเลขชี้กำลังของตัวประกอบแต่ละตัวดังนี้- 👉 2 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 7 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 139 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
3นำผลบวกของเลขชี้กำลังที่ได้มาคูณกันดังนี้ 2 x 2 x 2 = 8✔คำตอบ ตัวประกอบทั้งหมดของ 1946 มีทั้งหมด 8 ตัว ✔
วิธีทำ
1หาร 1946 ด้วยตัวประกอบเฉพาะของ 1946 นั้นก็คือ 2, 7, 139 (ในการหารแต่ละครั้งแนะนำให้ใช้ตัวประกอบเฉพาะที่มีค่าน้อยที่สุด)
2หากผลการหารที่ได้ยังไม่เท่ากับ 1 ให้นำผลการหารที่ได้ก่อนหน้านี้มาหารด้วยตัวประกอบเฉพาะอีกครั้ง
3ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 2 ไปเรื่อยๆ จนกว่าผลหารสุดท้ายมีค่าเท่ากับ 1
4นำตัวหารทั้งหมดมาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 1946
2
)1946
7
)973
139
)139
1
ดังนั้น 1946 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
1946 = 2 x 7 x 139
1แยกตัวประกอบของ 1946 และเขียนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังจะได้เท่ากับ 21 x 71 x 1391
2ให้นำ 1 ไปบวกกับเลขชี้กำลังของตัวประกอบแต่ละตัวดังนี้
- 👉 2 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 7 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 139 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
3นำผลบวกของเลขชี้กำลังที่ได้มาคูณกันดังนี้ 2 x 2 x 2 = 8✔
คำตอบ ตัวประกอบทั้งหมดของ 1946 มีทั้งหมด 8 ตัว ✔
เมื่อคุณรู้ตัวประกอบและวิธีการแยกตัวประกอบของ 1946 แล้วลองแวะดูบทความอื่นๆที่น่าสนใจด้านล่างนี้ได้น่ะ 👇