ตัวประกอบของ 65487 และวิธีการแยกตัวประกอบของ 65487
คำนิยาม
ตัวประกอบของจำนวนนับใดๆ หมายถึง จำนวนนับที่หารจำนวนนับที่เรากำหนดให้ได้ลงตัว
ดังนั้นตัวประกอบของ 65487 หมายถึงจำนวนนับที่หาร 65487 ได้ลงตัว
▶
▶
2. การแยกตัวประกอบของ 65487 ด้วยวิธีหารสั้น
ตัวประกอบของ 65487 มีอะไรบ้าง
ตัวประกอบของ 65487 มีทั้งหมด 8 ตัวคือ 1, 3, 83, 249, 263, 789, 21829, 65487
ตรวจคำตอบด้วยการหาร
65487 ÷ 1 | = | 65487 | เหลือเศษ 0 |
65487 ÷ 3 | = | 21829 | เหลือเศษ 0 |
65487 ÷ 83 | = | 789 | เหลือเศษ 0 |
65487 ÷ 249 | = | 263 | เหลือเศษ 0 |
65487 ÷ 263 | = | 249 | เหลือเศษ 0 |
65487 ÷ 789 | = | 83 | เหลือเศษ 0 |
65487 ÷ 21829 | = | 3 | เหลือเศษ 0 |
65487 ÷ 65487 | = | 1 | เหลือเศษ 0 |
ตรวจคำตอบด้วยการจับคู่หาจำนวนที่คูณกันได้ 65487
1 x 65487 | = | 65487 |
3 x 21829 | = | 65487 |
83 x 789 | = | 65487 |
249 x 263 | = | 65487 |
ผลบวกของตัวประกอบทั้งหมดของ 65487
1 + 3 + 83 + 249 + 263 + 789 + 21829 + 65487 = 88704
▶ ตัวประกอบของ 65487 ที่เป็นจำนวนเฉพาะมีทั้งหมด 3 ตัวดังนี้
3, 83, 263
จำนวนเฉพาะ (Prime number) คือ จำนวนนับที่มากกว่า 1 และมีตัวประกอบเพียงสองตัวคือ 1 และตัวมันเอง
ตัวประกอบที่เป็นจำนวนเฉพาะ เรียกว่า "ตัวประกอบเฉพาะ"
การแยกตัวประกอบคืออะไร
การแยกตัวประกอบ คือ การเขียนจำนวนนับนั้นให้อยู่ในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ
▶ 65487 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
65487 = 3 x 83 x 263
วิธีการแยกตัวประกอบ
1. การแยกตัวประกอบของ 65487 ด้วยวิธีแผนภาพต้นไม้🌲
วิธีทำ
1จำนวนที่โจทย์กำหนดมา คือ 65487 ดังนั้นให้หาจำนวนที่คูณกันได้ 65487 มา 1 คู่ เช่น 3 x 21829
2พิจารณาว่าจำนวน 1 คู่ที่เลือกมาเป็นจำนวนเฉพาะหรือยัง
3ถ้าจำนวนใดยังไม่ใช่จำนวนเฉพาะให้หาจำนวนที่คูณกันได้จำนวนนั้น และให้เลือกเอาจำนวนที่คูณกันได้จำนวนนั้นมา 1 คู่(ทำคล้ายๆกับข้อที่ 1)
4ทำโดยใช้หลักการข้อที่ 2 และ 3 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจำนวนสุดท้ายจะเป็นจำนวนเฉพาะ
5เอาจำนวนเฉพาะทั้งหมดที่ได้มาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 65487
ตัวอย่างแผนภาพต้นไม้ของ 65487 แบบที่หนึ่ง
- 65487
- 249
- 3
- 83
- 263
- 249
ตัวอย่างแผนภาพต้นไม้ของ 65487 แบบที่สอง
- 65487
- 3
- 21829
- 83
- 263
ดังนั้น 65487 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
65487 =
3 x 83 x 263
2. การแยกตัวประกอบของ 65487 ด้วยวิธีหารสั้นวิธีทำ1หาร 65487 ด้วยตัวประกอบเฉพาะของ 65487 นั้นก็คือ 3, 83, 263 (ในการหารแต่ละครั้งแนะนำให้ใช้ตัวประกอบเฉพาะที่มีค่าน้อยที่สุด)2หากผลการหารที่ได้ยังไม่เท่ากับ 1 ให้นำผลการหารที่ได้ก่อนหน้านี้มาหารด้วยตัวประกอบเฉพาะอีกครั้ง3ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 2 ไปเรื่อยๆ จนกว่าผลหารสุดท้ายมีค่าเท่ากับ 14นำตัวหารทั้งหมดมาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 65487
3)6548783)21829263)2631ดังนั้น 65487 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้65487 = 3 x 83 x 263วิธีหาจำนวนตัวประกอบทั้งหมดของ 65487
1แยกตัวประกอบของ 65487 และเขียนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังจะได้เท่ากับ 31 x 831 x 26312ให้นำ 1 ไปบวกกับเลขชี้กำลังของตัวประกอบแต่ละตัวดังนี้- 👉 3 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 83 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 263 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
3นำผลบวกของเลขชี้กำลังที่ได้มาคูณกันดังนี้ 2 x 2 x 2 = 8✔คำตอบ ตัวประกอบทั้งหมดของ 65487 มีทั้งหมด 8 ตัว ✔
วิธีทำ
1หาร 65487 ด้วยตัวประกอบเฉพาะของ 65487 นั้นก็คือ 3, 83, 263 (ในการหารแต่ละครั้งแนะนำให้ใช้ตัวประกอบเฉพาะที่มีค่าน้อยที่สุด)
2หากผลการหารที่ได้ยังไม่เท่ากับ 1 ให้นำผลการหารที่ได้ก่อนหน้านี้มาหารด้วยตัวประกอบเฉพาะอีกครั้ง
3ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 2 ไปเรื่อยๆ จนกว่าผลหารสุดท้ายมีค่าเท่ากับ 1
4นำตัวหารทั้งหมดมาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 65487
3
)65487
83
)21829
263
)263
1
ดังนั้น 65487 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
65487 = 3 x 83 x 263
1แยกตัวประกอบของ 65487 และเขียนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังจะได้เท่ากับ 31 x 831 x 2631
2ให้นำ 1 ไปบวกกับเลขชี้กำลังของตัวประกอบแต่ละตัวดังนี้
- 👉 3 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 83 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 263 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
3นำผลบวกของเลขชี้กำลังที่ได้มาคูณกันดังนี้ 2 x 2 x 2 = 8✔
คำตอบ ตัวประกอบทั้งหมดของ 65487 มีทั้งหมด 8 ตัว ✔
เมื่อคุณรู้ตัวประกอบและวิธีการแยกตัวประกอบของ 65487 แล้วลองแวะดูบทความอื่นๆที่น่าสนใจด้านล่างนี้ได้น่ะ 👇