ตัวประกอบของ 25467 และวิธีการแยกตัวประกอบของ 25467
คำนิยาม
ตัวประกอบของจำนวนนับใดๆ หมายถึง จำนวนนับที่หารจำนวนนับที่เรากำหนดให้ได้ลงตัว
ดังนั้นตัวประกอบของ 25467 หมายถึงจำนวนนับที่หาร 25467 ได้ลงตัว
▶
▶
2. การแยกตัวประกอบของ 25467 ด้วยวิธีหารสั้น
ตัวประกอบของ 25467 มีอะไรบ้าง
ตัวประกอบของ 25467 มีทั้งหมด 8 ตัวคือ 1, 3, 13, 39, 653, 1959, 8489, 25467
ตรวจคำตอบด้วยการหาร
25467 ÷ 1 | = | 25467 | เหลือเศษ 0 |
25467 ÷ 3 | = | 8489 | เหลือเศษ 0 |
25467 ÷ 13 | = | 1959 | เหลือเศษ 0 |
25467 ÷ 39 | = | 653 | เหลือเศษ 0 |
25467 ÷ 653 | = | 39 | เหลือเศษ 0 |
25467 ÷ 1959 | = | 13 | เหลือเศษ 0 |
25467 ÷ 8489 | = | 3 | เหลือเศษ 0 |
25467 ÷ 25467 | = | 1 | เหลือเศษ 0 |
ตรวจคำตอบด้วยการจับคู่หาจำนวนที่คูณกันได้ 25467
1 x 25467 | = | 25467 |
3 x 8489 | = | 25467 |
13 x 1959 | = | 25467 |
39 x 653 | = | 25467 |
ผลบวกของตัวประกอบทั้งหมดของ 25467
1 + 3 + 13 + 39 + 653 + 1959 + 8489 + 25467 = 36624
▶ ตัวประกอบของ 25467 ที่เป็นจำนวนเฉพาะมีทั้งหมด 3 ตัวดังนี้
3, 13, 653
จำนวนเฉพาะ (Prime number) คือ จำนวนนับที่มากกว่า 1 และมีตัวประกอบเพียงสองตัวคือ 1 และตัวมันเอง
ตัวประกอบที่เป็นจำนวนเฉพาะ เรียกว่า "ตัวประกอบเฉพาะ"
การแยกตัวประกอบคืออะไร
การแยกตัวประกอบ คือ การเขียนจำนวนนับนั้นให้อยู่ในรูปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ
▶ 25467 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
25467 = 3 x 13 x 653
วิธีการแยกตัวประกอบ
1. การแยกตัวประกอบของ 25467 ด้วยวิธีแผนภาพต้นไม้🌲
วิธีทำ
1จำนวนที่โจทย์กำหนดมา คือ 25467 ดังนั้นให้หาจำนวนที่คูณกันได้ 25467 มา 1 คู่ เช่น 3 x 8489
2พิจารณาว่าจำนวน 1 คู่ที่เลือกมาเป็นจำนวนเฉพาะหรือยัง
3ถ้าจำนวนใดยังไม่ใช่จำนวนเฉพาะให้หาจำนวนที่คูณกันได้จำนวนนั้น และให้เลือกเอาจำนวนที่คูณกันได้จำนวนนั้นมา 1 คู่(ทำคล้ายๆกับข้อที่ 1)
4ทำโดยใช้หลักการข้อที่ 2 และ 3 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจำนวนสุดท้ายจะเป็นจำนวนเฉพาะ
5เอาจำนวนเฉพาะทั้งหมดที่ได้มาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 25467
ตัวอย่างแผนภาพต้นไม้ของ 25467 แบบที่หนึ่ง
- 25467
- 39
- 3
- 13
- 653
- 39
ตัวอย่างแผนภาพต้นไม้ของ 25467 แบบที่สอง
- 25467
- 3
- 8489
- 13
- 653
ดังนั้น 25467 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
25467 =
3 x 13 x 653
2. การแยกตัวประกอบของ 25467 ด้วยวิธีหารสั้นวิธีทำ1หาร 25467 ด้วยตัวประกอบเฉพาะของ 25467 นั้นก็คือ 3, 13, 653 (ในการหารแต่ละครั้งแนะนำให้ใช้ตัวประกอบเฉพาะที่มีค่าน้อยที่สุด)2หากผลการหารที่ได้ยังไม่เท่ากับ 1 ให้นำผลการหารที่ได้ก่อนหน้านี้มาหารด้วยตัวประกอบเฉพาะอีกครั้ง3ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 2 ไปเรื่อยๆ จนกว่าผลหารสุดท้ายมีค่าเท่ากับ 14นำตัวหารทั้งหมดมาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 25467
3)2546713)8489653)6531ดังนั้น 25467 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้25467 = 3 x 13 x 653วิธีหาจำนวนตัวประกอบทั้งหมดของ 25467
1แยกตัวประกอบของ 25467 และเขียนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังจะได้เท่ากับ 31 x 131 x 65312ให้นำ 1 ไปบวกกับเลขชี้กำลังของตัวประกอบแต่ละตัวดังนี้- 👉 3 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 13 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 653 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
3นำผลบวกของเลขชี้กำลังที่ได้มาคูณกันดังนี้ 2 x 2 x 2 = 8✔คำตอบ ตัวประกอบทั้งหมดของ 25467 มีทั้งหมด 8 ตัว ✔
วิธีทำ
1หาร 25467 ด้วยตัวประกอบเฉพาะของ 25467 นั้นก็คือ 3, 13, 653 (ในการหารแต่ละครั้งแนะนำให้ใช้ตัวประกอบเฉพาะที่มีค่าน้อยที่สุด)
2หากผลการหารที่ได้ยังไม่เท่ากับ 1 ให้นำผลการหารที่ได้ก่อนหน้านี้มาหารด้วยตัวประกอบเฉพาะอีกครั้ง
3ดำเนินการเช่นเดียวกับข้อ 2 ไปเรื่อยๆ จนกว่าผลหารสุดท้ายมีค่าเท่ากับ 1
4นำตัวหารทั้งหมดมาเขียนให้อยู่ในรูปการคูณก็จะได้เป็นการแยกตัวประกอบของ 25467
3
)25467
13
)8489
653
)653
1
ดังนั้น 25467 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้
25467 = 3 x 13 x 653
1แยกตัวประกอบของ 25467 และเขียนให้อยู่ในรูปเลขยกกำลังจะได้เท่ากับ 31 x 131 x 6531
2ให้นำ 1 ไปบวกกับเลขชี้กำลังของตัวประกอบแต่ละตัวดังนี้
- 👉 3 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 13 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
- 👉 653 มีเลขชี้กำลังคือ 1 ให้เอา 1 + 1 = 2
3นำผลบวกของเลขชี้กำลังที่ได้มาคูณกันดังนี้ 2 x 2 x 2 = 8✔
คำตอบ ตัวประกอบทั้งหมดของ 25467 มีทั้งหมด 8 ตัว ✔
เมื่อคุณรู้ตัวประกอบและวิธีการแยกตัวประกอบของ 25467 แล้วลองแวะดูบทความอื่นๆที่น่าสนใจด้านล่างนี้ได้น่ะ 👇